พระราชบัญญัติ
จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ณ วันที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๘
เป็นปีที่ ๔๐ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคําแนะนําและยินยอมของรัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครอง คนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘”
มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๑๑
มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้ “จัดหางาน” หมายความว่า ประกอบธุรกิจจัดหางานให้แก่คนหางานหรือหาลูกจ้างให้แก่นายจ้าง โดยจะเรียกหรือรับค่าบริการตอบแทนหรือไม่ก็ตามและให้หมายรวมถึงการเรียกเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดเพื่อจัดหางานให้คนหางาน
“ค่าบริการ” หมายความว่า เงินหรือประโยชน์อย่างอื่นที่ให้เป็นค่าตอบแทนการจัดหางาน
“ค่าใช้จ่าย” หมายความว่า ค่าใช้จ่ายในการจัดหางาน
“ผู้รับอนุญาต” หมายความว่า ผู้รับใบอนุญาตจัดหางานตามพระราชบัญญัตินี้
“ตัวแทนจัดหางาน” หมายความว่า ผู้ซึ่งผู้รับอนุญาตจดทะเบียนให้เป็นตัวแทนจัดหางานตามพระราชบัญญัตินี้
“สํานักงาน” หมายความว่า สํานักงานจัดหางานของผู้รับอนุญาต
“คนหางาน” หมายความว่า บุคคลซึ่งประสงค์จะทํางานโดยเรียกหรือรับค่าจ้าง เป็นเงินหรือประโยชน์อย่างอื่น
“ทดสอบฝีมือ” ๓ หมายความว่า การดําเนินการใดๆ เพื่อให้ทราบถึงฝีมือของคนหางาน เพื่อออกใบรับรองผลการทดสอบให้คนหางานโดยจะเรียกหรือรับค่าทดสอบฝีมือหรือไม่ก็ตาม
“ฝึกงาน” หมายความว่า นายจ้างส่งลูกจ้างไปรับการเพิ่มพูนความรู้ ฝีมือ ภาษา ทัศนคติหรือทักษะในการทํางานเพื่อให้การทํางานมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
“กองทุน” หมายความว่า กองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทํางานในต่างประเทศที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัตินี้
“คณะกรรมการกองทุน” หมายความว่า คณะกรรมการกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทํางานในต่างประเทศ
“นายทะเบียน” หมายความว่า นายทะเบียนจัดหางานกลางหรือนายทะเบียนจัดหางานจังหวัด แล้วแต่กรณี
“พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
“อธิบดี” หมายความว่า อธิบดีกรมการจัดหางาน
“รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๕ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน*รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอํานาจแต่งตั้งนายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่ กับออกกฎกระทรวงกําหนด ค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตราท้ายพระราชบัญญัตินี้ยกเว้นค่าธรรมเนียม และกําหนดกิจการอื่นหรือออกระเบียบเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
หมวด ๑
สํานักงานทะเบียนจัดหางานกลาง สํานักงานทะเบียนจัดหางานจังหวัด และสํานักจัดหางาน
มาตรา ๖ ให้จัดตั้งสํานักงานทะเบียนจัดหางานกลางขึ้นในกรมการจัดหางานกระทรวงแรงงาน* โดยมีนายทะเบียนจัดหางานกลางเป็นผู้มีอํานาจและหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้
ในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานครจะจัดตั้งสํานักงานทะเบียนจัดหางานจังหวัดขึ้นตรงต่อสํานักงานทะเบียนจัดหางานกลางก็ได้โดยมีนายทะเบียนจัดหางานจังหวัดเป็นผู้มีอํานาจและหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้
การจัดตั้งสํานักงานทะเบียนจัดหางานจังหวัด ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๗ ให้จัดตั้งสํานักงานจัดหางานขึ้นในกรมการจัดหางานกระทรวงแรงงาน* เรียกว่า “สํานักงานจัดหางาน กรมการจัดหางาน” มีหน้าที่จัดหางานให้แก่ประชาชนโดยไม่คิดค่าบริการ สํานักงานจัดหางาน กรมการจัดหางาน อาจมีสาขาได้ตามที่อธิบดีเห็นสมควร
หมวด ๒
การจัดหางานในประเทศ
มาตรา ๘ ห้ามมิให้ผู้ใดจัดหางานให้คนหางานทํางานในประเทศ เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียน
การขอใบอนุญาตและการออกใบอนุญาต ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่กําหนดในกฎกระทรวง
นายทะเบียนต้องออกใบอนุญาตหรือมีหนังสือแจ้งคําสั่งไม่อนุญาตพร้อมด้วยเหตุผลให้ผู้ขออนุญาตทราบภายในหกสิบวันนับแต่วันได้รับคําขอซึ่งมีรายละเอียดถูกต้องและครบถ้วนตามที่กําหนดในกฎกระทรวง
ในกรณีที่มีเหตุจําเป็นที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตหรือยังไม่อาจมีคําสั่ง ไม่อนุญาตได้ภายในกําหนดเวลาตามวรรคสาม ให้ขยายเวลาออกไปได้อีกไม่เกินสองครั้ง ครั้งละไม่เกินสามสิบวันแต่ต้องมีหนังสือแจ้งการขยายเวลาและเหตุจําเป็นแต่ละครั้งให้ผู้ขออนุญาตทราบก่อนสิ้นกําหนดเวลาตามวรรคสามหรือตามที่ได้ขยายเวลาไว้นั้นแล้วแต่กรณี
มาตรา ๙ ผู้ขออนุญาตจัดหางานในประเทศต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้
(๑) มีสัญชาติไทย
(๒) มีอายุไม่ต่ํากว่ายี่สิบปีบริบูรณ์
(๓) ไม่เป็นผู้รับอนุญาตจัดหางาน
(๔) ไม่เป็นผู้อยู่ในระหว่างถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตจัดหางาน
(๕) ไม่เคยถูกเพิกถอนใบอนุญาตจัดหางาน
(๖) ไม่เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(๗) ไม่เป็นผู้มีหรือเคยมีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี
(๘) ไม่เป็นกรรมการ หุ้นส่วน หรือผู้จัดการของนิติบุคคลซึ่งเป็นผู้รับอนุญาตจัดหางาน
(๙) ไม่เป็นกรรมการ หุ้นส่วน หรือผู้จัดการของนิติบุคคลซึ่งถูกเพิกถอนใบอนุญาตจัดหางานหรืออยู่ในระหว่างใช้สิทธิอุทธรณ์คําสั่งเพิกถอนใบอนุญาตจัดหางาน
(๑๐) ไม่เคยได้รับโทษจําคุกโดยคําพิพากษาถึงที่สุด หรือ คําสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จําคุกในความผิดที่กฎหมายบัญญัติ ให้ถือเอาการกระทําโดยทุจริตเป็นองค์ประกอบหรือในความผิดตามพระราชบัญญัตินี้
(๑๑) มีหลักประกันเป็นจํานวนเงินตามที่กําหนดในกฎกระทรวง แต่ต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งแสนบาทวางไว้กับนายทะเบียน เพื่อเป็นหลักประกันการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
ในกรณีที่ผู้ขออนุญาตจัดหางานดังกล่าวเป็นนิติบุคคล นิติบุคคลนั้นต้องมีสัญชาติไทยและมีผู้จัดการซึ่งเป็นผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามวรรคหนึ่งด้วย
มาตรา ๑๐ ใบอนุญาตให้ใช้ได้ภายในเขตจังหวัดที่นายทะเบียนระบุไว้ในใบอนุญาตมีกําหนดสองปีนับแต่วันที่ออกใบอนุญาต
ถ้าผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศประสงค์จะขอต่ออายุใบอนุญาต ให้ยื่นคําขอก่อนใบอนุญาตสิ้นอายุไม่น้อยกว่าสามสิบวัน เมื่อได้ยื่นคําขอดังกล่าวแล้วให้ประกอบกิจการต่อไปได้ จนกว่านายทะเบียนจะสั่งไม่อนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาตนั้น
การขอต่ออายุใบอนุญาตและการอนุญาต ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่กําหนดในกฎกระทรวง
การอนุญาตหรือไม่อนุญาตจะต้องกระทําให้เสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคําขอซึ่งมีรายละเอียดถูกต้องและครบถ้วนตามที่กําหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๑๑ ผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศต้องแสดงใบอนุญาตไว้ณ ที่เปิดเผยและเห็นได้ง่าย ณ สํานักงานตามที่ระบุไว้ในใบอนุญาต ผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศจะตั้งสํานักงาน ณ โรงแรม หอพัก สถานบริการ โรงรับจํานํา สถานที่ที่จัดให้มีการเล่นการพนันเป็นปกติธุระ หรือสถานที่อื่นตามที่รัฐมนตรีประกาศกําหนดมิได้
มาตรา ๑๒ ในกรณีที่ผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศประสงค์จะขอย้ายสํานักงานหรือขอตั้งสํานักงานชั่วคราวนอกเขตท้องที่ที่ได้รับอนุญาต ให้ยื่นคําขอต่อนายทะเบียน
การขออนุญาตและการอนุญาตให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกําหนดและให้นําความในมาตรา ๑๐ วรรคสี่ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๑๓ ในกรณีที่ผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศประสงค์จะเปลี่ยนผู้จัดการให้ยื่นคําขอต่อนายทะเบียนการขออนุญาตและการอนุญาตให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกําหนดและให้นําความในมาตรา ๑๐ วรรคสี่ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๑๔ ในกรณีที่นายทะเบียนไม่ออกใบอนุญาต ไม่ต่ออายุใบอนุญาต ไม่อนุญาตให้ย้ายสํานักงาน ไม่อนุญาตให้จัดตั้งสํานักงานชั่วคราว หรือไม่อนุญาตให้เปลี่ยนผู้จัดการผู้ขออนุญาตหรือผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศมีสิทธิอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีได้ภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการไม่อนุญาตหรือพ้นกําหนดเวลาตามมาตรา ๘ วรรคสี่ หรือมาตรา ๑๐ วรรคสี่ แล้วแต่กรณี คําวินิจฉัยของรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด
มาตรา ๑๕ ผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศต้องจดทะเบียนลูกจ้างและตัวแทนจัดหางานต่อนายทะเบียนตามหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขที่กําหนดในกฎกระทรวง และจัดให้มีทะเบียนลูกจ้างและตัวแทนจัดหางานตามแบบที่อธิบดีกําหนดไว้ณ สํานักงาน เพื่อให้คนหางานตรวจดูได้ในระหว่างเวลาทํางาน
ลูกจ้างและตัวแทนจัดหางานต้องมิได้เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนจัดหางานของผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศผู้อื่นในขณะเดียวกัน และต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๙ เว้นแต่คุณสมบัติตามมาตรา ๙ (๑) และ (๒) มิให้ใช้บังคับแก่ลูกจ้าง
ใบอนุญาตที่ออกให้แก่ผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศผู้ใด ให้คุ้มถึงลูกจ้างหรือตัวแทนจัดหางานซึ่งผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศผู้นั้นได้จดทะเบียนไว้ด้วย
การกระทําที่เกี่ยวกับการจัดหางานของลูกจ้างหรือตัวแทนจัดหางาน ซึ่งผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศได้จดทะเบียนไว้ให้ถือว่าเป็นการกระทําของผู้รับอนุญาตด้วย
มาตรา ๑๖ ในการยื่นคําขอจดทะเบียนตัวแทนจัดหางานตามมาตรา ๑๕ ผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศต้องวางหลักประกันสําหรับตัวแทนจัดหางานแต่ละคนที่ขอจดทะเบียนตามจํานวนที่กําหนดในกฎกระทรวง แต่ต้องไม่น้อยกว่าคนละห้าหมื่นบาทไว้กับนายทะเบียน โดยจะวางหลักประกันเป็นเงินสด พันธบัตรของรัฐบาลไทย หรือสัญญาค้ําประกันของธนาคารก็ได้
ในกรณีที่ตัวแทนจัดหางานกระทําการฝ่าฝืนพระราชบัญญัตินี้และทําให้เกิดความเสียหายแก่คนหางาน ถ้านายทะเบียนพิจารณาเห็นว่ามีหลักฐานอันควรเชื่อว่าเป็นการกระทําของตัวแทนจัดหางาน ให้นายทะเบียนมีหนังสือแจ้งเหตุดังกล่าวให้ผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศทราบ และถ้าผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศไม่โตแย้งภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง
นายทะเบียนมีอํานาจจ่ายเงินชดเชยให้แก่คนหางานเท่าที่พิจารณาเห็นว่าเสียหายจริงจากหลักประกันที่วางไว้ตามวรรคหนึ่งได้
มาตรา ๑๗ ในกรณีที่หลักประกันที่ผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศวางไว้ตามมาตรา ๙ (๑๑) และมาตรา ๑๖ วรรคหนึ่ง ลดลง เพราะถูกใช้จ่ายไปตามพระราชบัญญัตินี้ให้นายทะเบียนสั่งเป็นหนังสือให้ผู้รับอนุญาตวางหลักประกันเพิ่มจนครบจํานวนเงินที่กําหนดภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคําสั่ง
มาตรา ๑๘ หลักประกันที่ผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศวางไว้ตามมาตรา ๙ (๑๑) และมาตรา ๑๖ วรรคหนึ่ง ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีตราบเท่าที่ผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศ ยังมิได้เลิกประกอบธุรกิจจัดหางานหรือเลิกประกอบธุรกิจจัดหางานแล้ว แต่ยังไม่พ้นจากความรับผิดตามพระราชบัญญัตินี้
ในกรณีเลิกประกอบธุรกิจจัดหางาน ผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศจะขอรับคืนหลักประกันที่วางไว้ตามมาตรา ๙ (๑๑) ได้ก็ต่อเมื่อได้ชําระหนี้ที่เกิดขึ้นตามพระราชบัญญัตินี้เสร็จสิ้นแล้ว แต่ถ้าหนี้ที่เหลือมีจํานวนน้อยกว่าหลักประกันที่วางไว้ให้นายทะเบียนมีอํานาจสั่งให้ลดหลักประกันลงให้เหลือเท่ากับหนี้ที่จะพึงรับผิดชอบได้
ผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศอาจขอรับคืนหลักประกันที่วางไว้ตามมาตรา ๑๖ วรรคหนึ่งได้เมื่อตัวแทนจัดหางานได้พ้นจากความเป็นตัวแทนจัดหางานแล้วโดยไม่มีหนี้ที่จะต้องชําระตามมาตรา ๑๖ วรรคสอง
ในกรณีที่ผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศไม่ขอรับหลักประกันคืนภายในห้าปีนับแต่วันที่เลิกประกอบธุรกิจจัดหางาน ให้หลักประกันดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน
มาตรา ๑๙ ในกรณีที่ผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศประสงค์จะจัดหาคนหางานจากจังหวัดอื่นนอกจากจังหวัดที่ได้รับอนุญาต ให้ยื่นคําขอต่อนายทะเบียน
การขออนุญาตและการอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกําหนด
มาตรา ๒๐ เมื่อออกไปปฏิบัติงานนอกสํานักงาน ผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศ ผู้จัดการ ลูกจ้าง หรือตัวแทนจัดหางานต้องแสดงบัตรประจําตัวต่อผู้ซึ่งเกี่ยวข้อง
บัตรประจําตัวผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศ ผู้จัดการ ลูกจ้าง หรือตัวแทนจัดหางาน ให้เป็นไปตามแบบที่อธิบดีกําหนด
บัตรประจําตัวตามวรรคสอง มีอายุหนึ่งปีนับแต่วันออก การขอและการออกบัตรประจําตัว ให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกําหนด
มาตรา ๒๑ ผู้จัดการ ลูกจ้าง หรือตัวแทนจัดหางาน ซึ่งพ้นจากความเป็นผู้จัดการ ลูกจ้าง หรือตัวแทนจัดหางาน ต้องส่งคืนบัตรประจําตัวแก่นายทะเบียนหรือผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่พ้นจากความเป็นผู้จัดการ ลูกจ้าง หรือตัวแทนจัดหางาน ผู้รับอนุญาตซึ่งได้รับบัตรประจําตัวคืนตามวรรคหนึ่ง ต้องส่งบัตรประจําตัวนั้นแก่นายทะเบียนภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับจากผู้จัดการ ลูกจ้าง หรือตัวแทนจัดหางาน
มาตรา ๒๒ ในกรณีที่ใบอนุญาตหรือบัตรประจําตัวสูญหายหรือถูกทําลายให้ผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศยื่นคําขอใบแทนใบอนุญาตหรือบัตรประจําตัวแล้วแต่กรณีภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ทราบการสูญหายหรือถูกทําลาย
การขอและการออกใบแทนใบอนุญาตและบัตรประจําตัว ให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกําหนด
มาตรา ๒๓ ในการจัดหางาน ผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศต้องทําสัญญาจัดหางานกับคนหางานสัญญาจัดหางานตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามแบบที่อธิบดีกําหนด
มาตรา ๒๔ ห้ามมิให้ตัวแทนจัดหางานทําสัญญาจัดหางานกับคนหางานแทนผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศ เว้นแต่จะได้รับมอบอํานาจเป็นหนังสือตามแบบที่อธิบดีกําหนดจากผู้รับอนุญาตดังกล่าว และผู้รับอนุญาตดังกล่าวได้แจ้งเป็นหนังสือให้นายทะเบียนทราบแล้ว
การที่ตัวแทนจัดหางานมิได้รับมอบอํานาจจากผู้รับอนุญาตดังกล่าว หรือได้รับมอบอํานาจแต่หนังสือมอบอํานาจมิได้เป็นไปตามแบบที่อธิบดีกําหนด ไม่เป็นเหตุให้คนหางาน หรือบุคคลภายนอกที่สุจริตเสื่อมสิทธิเพราะเหตุนั้น
มาตรา ๒๕ ผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศต้องปฏิบัติดังต่อไปนี้
(๑) จัดให้มีสมุดทะเบียน บัญชีและเอกสารเกี่ยวกับธุรกิจของตนตามแบบและรายการที่อธิบดีกําหนด
(๒) จัดทําและส่งรายงานเกี่ยวกับการจัดหางานประจําเดือนตามแบบที่อธิบดี กําหนดต่อนายทะเบียนภายในวันที่สิบของเดือนถัดไป
เมื่อมีเหตุที่จะต้องลงในสมุดทะเบียน บัญชีหรือเอกสารเกี่ยวกับธุรกิจของตนผู้รับอนุญาตดังกล่าวต้องลงรายการเกี่ยวกับเหตุนั้นในสมุดทะเบียน บัญชีหรือเอกสารเช่นว่านั้นภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีเหตุจะต้องลงรายการนั้น
มาตรา ๒๖ ห้ามมิให้ผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศเรียกหรือรับเงินหรือทรัพย์สินอื่นใดจากคนหางานนอกจากค่าบริการหรือค่าใช้จ่ายค่าบริการหรือค่าใช้จ่ายตามวรรคหนึ่ง ให้เรียกหรือรับได้ไม่เกินอัตราที่รัฐมนตรีกําหนด
มาตรา ๒๗ ห้ามมิให้ผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศเรียกหรือรับค่าบริการหรือค่าใช้จ่ายก่อนที่นายจ้างรับคนหางานเข้าทํางานและจ่ายค่าจ้างเป็นครั้งแรกแล้ว เมื่อรับค่าบริการและหรือค่าใช้จ่าย ผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศต้องออกใบรับตามแบบที่อธิบดีกําหนดให้แก่คนหางาน
มาตรา ๒๘ ในกรณีที่คนหางานไม่ได้งานตามที่กําหนดไว้ในสัญญาจัดหางานหรือได้ค่าจ้างต่ํากว่า หรือได้ตําแหน่งงานไม่ตรงตามที่กําหนดไว้ในสัญญาจัดหางาน ผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศต้องจัดการให้คนหางานเดินทางกลับสํานักงานหรือสํานักงานชั่วคราวที่ตนรับสมัครคนหางานนั้น โดยออกค่าพาหนะ ค่าที่พัก ค่าอาหาร รวมทั้งคืนค่าบริการและค่าใช้จ่ายที่ได้รับไว้ตามมาตรา ๒๗ ให้แก่คนหางานนั้น พร้อมทั้งแจ้งเป็นหนังสือให้นายทะเบียนตามมาตรา ๒๕ (๒) ทราบภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่มีหน้าที่จะต้องจัดการดังกล่าว
ในกรณีที่คนหางานไม่ยอมเดินทางกลับหรือคนหางานประสงค์จะทํางานที่ได้ค่าจ้างต่่ำกว่าหรือที่ตําแหน่งงานไม่ตรงตามที่กําหนดไว้ในสัญญาจัดหางานผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศไม่ต้องรับผิดชอบในการจัดการให้คนหางานดังกล่าวเดินทางกลับ แต่ต้องแจ้งให้นายทะเบียนทราบตามวรรคหนึ่ง
มาตรา ๒๙ เมื่อนายทะเบียนทราบว่ามีเหตุที่ผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศจะต้องจัดการให้คนหางานเดินทางกลับตามมาตรา ๒๘ วรรคหนึ่งแต่ผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศยังมิได้ดําเนินการดังกล่าวภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่มีเหตุดังกล่าว ให้นายทะเบียนจัดการให้คนหางานเดินทางกลับโดยใช้จ่ายเงินจากหลักประกันที่วางไว้ตามมาตรา ๙ (๑๑)
หมวด ๓
การจัดหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศ
มาตรา ๓๐ ห้ามมิให้ผู้ใดจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศเว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนจัดหางานกลาง
การขอใบอนุญาตและการออกใบอนุญาต ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขที่กําหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๓๑ ผู้ขออนุญาตจัดหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศต้องเป็นบริษัทจํากัดหรือบริษัทมหาชนจํากัดกับมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้
(๑) มีทุนจดทะเบียนและชําระแล้วตามที่กําหนดในกฎกระทรวง แต่ต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท
(๒) มีทุนเป็นของผู้ถือหุ้นที่มีสัญชาติไทยไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจํานวนทุนทั้งหมด และจะต้องมีจํานวนผู้ถือหุ้นที่มีสัญชาติไทยไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจํานวนผู้ถือหุ้นทั้งหมด
(๓) ไม่เป็นผู้รับอนุญาตจัดหางาน
(๔) ไม่เป็นผู้อยู่ในระหว่างถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตจัดหางาน
(๕) ไม่เคยถูกเพิกถอนใบอนุญาตจัดหางาน
(๖) มีผู้จัดการซึ่งเป็นผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๙
(๗) มีหลักประกันเป็นจํานวนเงินตามที่กําหนดในกฎกระทรวง แต่ต้องไม่น้อยกว่าห้าแสนบาทวางไว้กับนายทะเบียนจัดหางานกลางเพื่อเป็นหลักประกันการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๓๒ นอกจากการจัดหางาน ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศจะประกอบธุรกิจตามที่กําหนดในกฎกระทรวงไม่ได้
มาตรา ๓๓ หลักประกันที่ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศต้องวางไว้ตามมาตรา ๓๑ (๗) นั้นต้องเป็นเงินสด พันธบัตรของรัฐบาลไทยหรือสัญญาค้ําประกันของธนาคารผู้รับอนุญาตดังกล่าวอาจขอเปลี่ยนแปลงหลักประกันได้
ในกรณีที่หลักประกันของผู้รับอนุญาตดังกล่าวลดลงเพราะถูกใช้จ่ายไปตามพระราชบัญญัตินี้ให้นายทะเบียนสั่งเป็นหนังสือให้ผู้รับอนุญาตดังกล่าววางหลักประกันเพิ่มจนครบจํานวนเงินที่กําหนดภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคําสั่ง
มาตรา ๓๔ หลักประกันที่ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศวางไว้ตามมาตรา ๓๑ (๗) และมาตรา ๑๖ วรรคหนึ่ง ซึ่งนํามาใช้บังคับโดยอนุโลมตามมาตรา ๔๗ ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีตราบเท่าที่ผู้รับอนุญาตดังกล่าวยังมิได้เลิกประกอบธุรกิจจัดหางาน หรือเลิกประกอบธุรกิจจัดหางานแล้ว แต่ยังไม่พ้นจากความรับผิดตามพระราชบัญญัตินี้
ในกรณีเลิกประกอบธุรกิจจัดหางาน ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศจะขอรับคืนหลักประกันที่วางไว้ตามมาตรา ๓๑ (๗) ได้ก็ต่อเมื่อได้ชําระหนี้ที่เกิดขึ้นตามพระราชบัญญัตินี้เสร็จสิ้นแล้ว แต่ถ้าหนี้ที่เหลือมีจํานวนน้อยกว่าหลักประกันที่วางไว้ให้นายทะเบียนมีอํานาจสั่งให้ลดหลักประกันลงให้เหลือเท่ากับหนี้ที่จะพึงรับผิดชอบได้
ในกรณีที่ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศไม่ขอรับหลักประกันตามวรรคหนึ่งคืนภายในห้าปีนับแต่วันที่ผู้รับอนุญาตเลิกประกอบธุรกิจจัดหางาน ให้หลักประกันดังกล่าวตกเป็นของกองทุน
มาตรา ๓๕ ในกรณีที่ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศ ประสงค์จะรับสมัครหรือประกาศรับสมัครคนหางานเป็นการล่วงหน้า ให้ยื่นคําขอต่อนายทะเบียน การขออนุญาตและการอนุญาต ให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกําหนดและให้นําความในมาตรา ๑๐ วรรคสี่ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๓๖ ในการจัดส่งคนหางานไปทํางานในต่างประเทศ ผรู้บอนุญาติจัดหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศต้องปฏิบัติดังต่อไปนี้
(๑) ส่งสัญญาจัดหางานที่ผู้รับอนุญาตจัดหางานในต่างประเทศ หรือตัวแทน จัดหางานทํากับคนหางานต่ออธิบดีตลอดจนเงื่อนไขการจ้างแรงงานที่นายจ้างในต่างประเทศ หรือตัวแทนซึ่งได้รับมอบอํานาจจากนายจ้างดังกล่าวทํากับคนหางาน และหลักฐานอื่นที่อธิบดีประกาศกําหนด เพื่อพิจารณาอนุญาตก่อนส่งคนหางานไปต่างประเทศ
(๒) ส่งคนหางานเข้ารับการตรวจสุขภาพตามหลักเกณฑ์ และวิธีการ ณ สถานพยาบาลที่อธิบดีประกาศกําหนด
(๓) ส่งคนหางานเข้ารับการทดสอบฝีมือตามหลักเกณฑ์ที่อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานประกาศกําหนด
(๔) ส่งคนหางานที่ผ่านการคัดเลือกและทดสอบฝีมือแล้วเข้ารับการอบรมเกี่ยวกับกฎหมายและขนบธรรมเนียมประเพณีของประเทศที่คนหางานจะไปทํางาน ตลอดจนสภาพการจ้าง ณ สํานักงานทะเบียนจัดหางานกลาง สํานักงานทะเบียนจัดหางานจังหวัด หรือสถาบันอื่นใดที่อธิบดีประกาศกําหนด
(๕) ส่งบัญชีรายชื่อและสถานที่ทํางานในต่างประเทศของคนหางานพร้อมทั้งสําเนาสัญญาจ้างแรงงานให้แก่นายทะเบียนจัดหางานกลางภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่คนหางานออกเดินทาง
(๖) แจ้งเป็นหนังสือโดยแนบบัญชีรายชื่อและสถานที่ทํางานในต่างประเทศของคนหางานตาม (๕) ให้สํานักงานแรงงานไทยในประเทศที่คนหางานไปทํางานทราบภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่คนหางานเดินทางไปถึง ในกรณีที่ไม่มีสํานักงานแรงงานไทยในประเทศดังกล่าว ให้แจ้งเป็นหนังสือให้สถานทูตไทยหรือสถานกงสุลไทยในประเทศนั้น หรือสถานทูตไทยหรือสถานกงสุลไทยหรือผู้ที่รับผิดชอบในการดูแลคนไทยในประเทศนั้นทราบภายในระยะเวลาดังกล่าว
(๗) รายงานให้นายทะเบียนจัดหางานกลางทราบภายในวันที่สิบของเดือนถัดไปเป็นประจําทุกเดือน ในกรณีที่ยังมีคนหางานไม่ได้เดินทางไปทํางานตามสัญญาจัดหางาน ความใน (๓) ไม่ใช้บังคับกับคนหางานที่มีใบรับรองการทดสอบฝีมือในสาขาที่จะไปทํางานอยู่แล้วการรายงานตาม (๗) ให้เป็นไปตามแบบที่อธิบดีกําหนด
มาตรา ๓๗ ให้ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศจัดใหนายจ้างในต่างประเทศซึ่งทําสัญญาจ้างแรงงานกับคนหางาน ส่งเงินเข้ากองทุนที่จัดตั้งขึ้นตามมาตรา ๕๒ สําหรับคนหางานแต่ละคน ถ้าไม่อาจจัดให้นายจ้างส่งเงินดังกล่าวได้ให้เป็นหน้าที่ของผู้รับอนุญาตต้องส่งเงินเข้ากองทุน
ในกรณีที่สํานักงานจัดหางาน กรมการจัดหางาน เป็นผู้จัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศ ให้อธิบดีเป็นผู้จัดให้นายจ้างส่งเงินเข้ากองทุนตามวรรคหนึ่ง ถ้าไม่อาจจัดให้นายจ้างส่งเงินดังกล่าวได้และคนหางานแสดงความประสงค์ที่จะไปทํางานในต่างประเทศโดยยินยอมส่งเงินเข้ากองทุนด้วยตนเอง ให้อธิบดีมีอํานาจเรียกเก็บเงินจากคนหางานเพื่อส่งเข้ากองทุนได้
มาตรา ๓๘ ห้ามมิให้ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศเรียกหรือรับค่าบริการจากคนหางานไว้เป็นการลวงหน้าเกินสามสิบวันก่อนเดินทางในกรณีที่มีเหตุจําเป็น ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศ อาจร้องขอต่อนายทะเบียนจัดหางานกลางเพื่อขอขยายระยะเวลาดังกล่าวได้ และเมื่อนายทะเบียนจัดหางานกลางพิจารณาเห็นสมควรจะขยายระยะเวลาดังกล่าวให้ก็ได้ แต่การขยายระยะเวลาให้กระทําได้เพียงครั้งเดียวมีกําหนดเวลาไม่เกินสามสิบวัน
การเรียกหรือรับเงินดังกล่าวตามวรรคหนึ่ง ให้กระทําได้เฉพาะงานตามสัญญาที่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีตามมาตรา ๓๖ แล้วเท่านั้น
มาตรา ๓๙ ในกรณีที่คนหางานเดินทางไปถึงประเทศที่จะไปทํางานแล้วไม่ได้งานตามที่กําหนดไว้ในสัญญาจัดหางาน ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศต้องดําเนินการดังต่อไปนี้
(๑) จัดการให้คนหางานเดินทางกลับประเทศไทย โดยออกค่าพาหนะ ค่าที่พัก ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จําเป็น ให้แก่คนหางาน จนกว่าคนหางานจะเดินทางกลับถึงประเทศไทย
(๒) แจ้งเป็นหนังสือให้สํานักงานแรงงานไทยในประเทศนั้นทราบภายในสิบห้าวัน ถ้าไม่มีสํานักงานแรงงานไทย ให้แจ้งสถานทูตไทยหรือสถานกงสุลไทยในประเทศนั้น หรือสถานทูตไทยหรือสถานกงสุลไทยที่รับผิดชอบในการดูแลคนไทยในประเทศนั้นทราบ และส่งสําเนาหนังสือดังกล่าวให้สํานักงานทะเบียนจัดหางานกลางทราบด้วย
มาตรา ๔๐ ในกรณีที่คนหางานเดินทางไปถึงประเทศที่จะไปทํางานแล้วได้ ค่าจ้างต่ํากว่าหรือได้ตําแหน่งงาน หรือสิทธิประโยชน์อื่นไม่ตรงตามที่กําหนดไว้ในสัญญาจัดหางาน คนหางานจะขอให้ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศจัดการให้ตนเดินทางกลับประเทศไทย หรือจะทํางานที่ได้ค่าจ้างต่ํากว่าหรือได้ตําแหน่งงาน หรือสิทธิประโยชน์อื่นไม่ตรงตามที่กําหนดไว้ในสัญญาจัดหางานก็ได้แต่ถ้าคนหางานจะขอให้ผู้รับอนุญาตจัดการให้ตนเดินทางกลับประเทศไทยจะต้องแจ้งความประสงค์ของตนเป็นหนังสือให้ผู้รับอนุญาตหรือตัวแทนของผู้รับอนุญาตที่อยู่ในประเทศนั้น ทราบภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ตนทราบว่าจะได้ค่าจ้างต่ำกว่าหรือได้ตําแหน่งงาน หรือสิทธิประโยชน์อื่นไม่ตรงตามที่กําหนดไว้ในสัญญาจัดหางาน
ในกรณีที่ไม่อาจแจ้งแก่ผู้รับอนุญาตหรือตัวแทนของผู้รับอนุญาตได้ให้แจ้งต่อสํานักงานแรงงานไทยสถานทูตไทยหรือสถานกงสุลไทยในประเทศนั้น หรือสถานทูตไทยหรือสถานกงสุลไทย หรือผู้ที่รับผิดชอบในการดูแลคนไทยในประเทศนั้นเพื่อแจ้งต่อไปยังผู้รับอนุญาต
ในกรณีที่คนหางานได้แจ้งตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้นําบทบัญญัติมาตรา ๓๙ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ในกรณีที่คนหางานประสงค์จะทํางานที่ได้ค่าจ้างต่ํากว่าหรือได้ตําแหน่งหรือสิทธิประโยชน์อื่นไม่ตรงตามที่กําหนดไว้ในสัญญาจัดหางาน ผู้รับอนุญาตไม่ต้องรับผิดชอบในการจัดการให้คนหางานดังกล่าวเดินทางกลับประเทศไทย แต่ต้องดําเนินการตามมาตรา ๓๙ (๒)
มาตรา ๔๑ ในกรณีที่ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศซึ่งมี
หน้าที่จัดการให้คนหางานเดินทางกลับประเทศไทยตามมาตรา ๓๙ หรือมาตรา ๔๐ ได้จัดการให้
คนหางานเดินทางกลับถึงประเทศไทยแล้ว ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศ
อาจยื่นคําขอต่ออธิบดีเพื่อรับเงินชดเชยจํานวนกึ่งหนึ่งของเงินค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ตนต้องจ่ายไป
ตามมาตรา ๓๙ (๑) จากกองทุนได้และถ้าอธิบดีพิจารณาเห็นว่า การที่คนหางานไม่ได้งานทํา
หรือได้ค่าจ้างต่ํากว่าหรือได้ตําแหน่งงานหรือสิทธิประโยชน์อื่นไม่ตรงตามที่กําหนดไว้ในสัญญาจัดหางานนั้นไม่ได้เกิดจากความผิดของผู้รับอนุญาตและผู้รับอนุญาตได้พยายามอย่างเต็มที่แล้วที่
จะให้คนหางานได้งานทําหรือได้ค่าจ้างหรือตําแหน่งงานหรือสิทธิประโยชน์อื่นตามที่กําหนดไว้ใน
สัญญาจัดหางานหรือผู้รับอนุญาตได้พยายามอย่างเต็มที่แล้วในการจัดการให้คนหางานเดินทาง
กลับประเทศไทยโดยเร็วที่สุด ให้อธิบดีอนุมัติให้จ่ายเงินชดเชยจากกองทุนให้ผู้รับอนุญาตได้
มาตรา ๔๒ ในกรณีที่ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศได้แจ้ง ให้คนหางานทราบแล้วว่าตนพร้อมที่จะจัดการให้คนหางานเดินทางกลับประเทศไทยตามมาตรา ๓๙ (๑) หรือมาตรา ๔๐ แต่คนหางานไม่ยอมเดินทางกลับประเทศไทยภายในเวลาหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง ผู้รับอนุญาตต้องดําเนินการตามมาตรา ๓๙ (๒) พร้อมทั้งวางเงิน ณ สํานักงานทะเบียนจัดหางานกลางตามจํานวนที่นายทะเบียนจัดหางานกลางกําหนดเพื่อเป็นค่าพาหนะ ค่าที่พัก ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จําเป็นในการเดินทางกลับของคนหางานดังกล่าว
ถ้าทางราชการได้ใช้จ่ายเงินจากกองทุนในการจัดการให้คนหางานดังกล่าวเดินทางกลับเป็นจํานวนเท่าใด ให้หักจากเงินที่ผู้รับอนุญาตได้วางไว้ตามวรรคหนึ่ง ถ้าเหลือให้คืนให้แก่ผู้รับอนุญาตโดยไม่ชักช้า ถ้าไม่พอให้นายทะเบียนจัดหางานกลางหักจากหลักประกันที่วางไว้ตามมาตรา ๓๑ (๗)
ในกรณีที่คนหางานไม่เดินทางกลับประเทศไทยภายในเก้าสิบวัน โดยไม่มีเหตุอันสมควรนับแต่วันที่ผู้รับอนุญาตได้วางเงินตามวรรคหนึ่งแล้ว ผู้รับอนุญาตไม่ต้องรับผิดชอบในการจัดการให้คนหางานดังกล่าวเดินทางกลับประเทศไทยโดยอาจขอรับเงินดังกล่าวคืนได้
เมื่อคนหางานตามวรรคหนึ่งเดินทางกลับถึงประเทศไทยแล้ว ผู้รับอนุญาตที่ได้ปฏิบัติตามมาตรานี้มีสิทธิยื่นคําขอต่ออธิบดีเพื่อรับเงินชดเชยค่าใช้จ่ายที่ตนต้องจ่ายไปจากกองทุนได้และให้นําความในมาตรา ๔๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๔๓ เมื่อนายทะเบียนจัดหางานกลางทราบว่ามีเหตุที่ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศจะต้องจัดการให้คนหางานเดินทางกลับประเทศไทยตามมาตรา ๓๙ (๑) หรือมาตรา ๔๐ แต่ผู้รับอนุญาตยังมิได้ดําเนินการดังกล่าวภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่มีเหตุดังกล่าว ให้นายทะเบียนจัดหางานกลางจัดการให้คนหางานเดินทางกลับประเทศไทย
ในการจัดการให้คนหางานเดินทางกลับประเทศไทยตามวรรคหนึ่ง ให้นายทะเบียนจัดหางานกลางใช้จ่ายเงินจากกองทุนไปก่อนและมีหนังสือแจ้งให้ผู้รับอนุญาตชดใช้เงินคืนภายในเวลาที่กําหนด ถ้าผู้รับอนุญาตมิได้นําเงินไปชําระคืนภายในเวลาที่กําหนด ให้นายทะเบียนจัดหางานกลางหักเงินจํานวนดังกล่าวจากหลักประกันที่วางไว้ตามมาตรา ๓๑ (๗)
มาตรา ๔๔ ในกรณีที่คนหางานได้ค่าจ้าง ตําแหน่งงาน หรือสิทธิประโยชน์อื่นตรงตามที่กําหนดไว้ในสัญญาจัดหางาน แต่ไม่ยอมปฏิบัติตามสัญญาผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศ ไม่ต้องรับผิดชอบในการจัดการให้คนหางานดังกล่าวเดินทางกลับประเทศไทย แต่ต้องดําเนินการตามมาตรา ๓๙ (๒)
มาตรา ๔๕ ในกรณีที่คนหางานได้ค่าจ้าง ตําแหน่งงาน และสิทธิประโยชน์อื่นตรงตามที่กําหนดไว้ในสัญญาจัดหางาน และได้ทํางานจนสัญญาจัดหางานสิ้นสุดลงแล้ว แต่คนหางานไม่ยอมเดินทางกลับประเทศไทยภายในสามสิบวันนับแต่วันที่สัญญาจัดหางานสิ้นสุดลงหรือภายในกําหนดเวลาที่มากกว่านั้นตามที่ระบุไว้ในสัญญาจัดหางานโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือคนหางานได้งานใหม่ภายในกําหนดเวลาดังกล่าวผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศไม่ต้องรับผิดชอบในการจัดการให้คนหางานดังกล่าวเดินทางกลับประเทศไทยแต่ต้องดําเนินการตามมาตรา ๓๙ (๒)
มาตรา ๔๖ ในกรณีที่ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศไม่สามารถจัดให้คนหางานเดินทางได้ภายในกําหนดเวลาตามมาตรา ๓๘ หรือในกรณีที่คนหางานไม่ได้งานตามที่กําหนดไว้ในสัญญาจัดหางานหรือได้ค่าจ้างต่ํากว่าหรือได้ตําแหน่งงาน หรือสิทธิประโยชน์อื่นไม่ตรงตามที่กําหนดไว้ในสัญญาจัดหางานและคนหางานไม่ประสงค์ที่จะทํางานนั้น
ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศต้องคืนค่าบริการและค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เรียกเก็บจากคนหางานไปแล้วทั้งหมดให้แก่คนหางานภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ครบกําหนดเวลาตามมาตรา ๓๘ หรือนับแต่วันที่คนหางานเดินทางกลับถึงประเทศไทย แล้วแต่กรณี
ในกรณีที่คนหางานไม่สามารถทํางานได้จนสิ้นสุดระยะเวลาตามที่กําหนดไว้ในสัญญาจัดหางาน เพราะถูกเลิกจ้างโดยมิใช่สาเหตุจากคนหางานผู้รับอนุญาตต้องคืนค่าบริการและค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บจากคนหางานไปแล้วเป็นอัตราส่วนกับระยะเวลาที่คนหางานได้ทํางานภายในสามสิบวันนับแต่วันที่คนหางานขอรับคืน
ในกรณีที่คนหางานได้ค่าจ้างต่ํากว่าที่กําหนดไว้ในสัญญาจัดหางานแต่คนหางานยังประสงค์จะทํางานนั้น ผู้รับอนุญาตต้องคืนค่าบริการที่เรียกเก็บจากคนหางานไปแล้วเป็นอัตราส่วนกับค่าจ้างที่คนหางานได้รับจริงภายในสามสิบวันนับแต่วันที่คนหางานขอรับคืน
ในกรณีที่ผู้รับอนุญาตมิได้ปฏิบัติตามวรรคหนึ่ง วรรคสอง หรือวรรคสามให้นายทะเบียนจัดหางานกลางหักค่าบริการและค่าใช้จ่ายดังกล่าวจากหลักประกันที่วางไว้ตามมาตรา ๓๑ (๗) คืนให้แก่คนหางานเมื่อนายทะเบียนได้ดําเนินการตามวรรคสี่แล้ว ให้แจ้งให้ผู้รับอนุญาตทราบโดยเร็ว
มาตรา ๔๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๗
มาตรา ๔๖ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๗
มาตรา ๔๗ ให้นําบทบัญญัติมาตรา ๘ วรรคสาม และวรรคสี่ มาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ มาตรา ๑๒ มาตรา ๑๓ มาตรา ๑๔ มาตรา ๑๕ มาตรา ๑๖ มาตรา ๑๗ มาตรา ๑๘ วรรคสาม มาตรา ๑๙ มาตรา ๒๐ มาตรา ๒๑ มาตรา ๒๒ มาตรา ๒๓ มาตรา ๒๔ มาตรา ๒๕ มาตรา ๒๖ และมาตรา ๒๗ วรรคสอง ในหมวด ๒ ว่าด้วยการจัดหางานในประเทศ มาใช้บังคับกับการจัดหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศโดยอนุโลม
หมวด ๓ ทวิ
สถานทดสอบฝีมือ
มาตรา ๔๗ ทวิ ห้ามมิให้ผู้ใดดําเนินการทดสอบฝีมือคนหางานเว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
การขออนุญาตและการออกใบอนุญาตสําหรับการทดสอบฝีมือในแต่ละสาขาอาชีพ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขที่กําหนดในกฎกระทรวงความในวรรคหนึ่ง มิให้ใช้บังคับกับการทดสอบฝีมือ ซึ่งดําเนินการโดยหน่วยงานของรัฐตามที่กําหนดในกฎกระทรวง และกฎกระทรวงดังกล่าวจะกําหนดหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขให้หน่วยงานของรัฐนั้นต้องปฏิบัติก็ได้
มาตรา ๔๗ ตรี ผู้รับอนุญาตดําเนินการทดสอบฝีมือต้องแสดงใบอนุญาตไว้ ณ ที่เปิดเผย และเห็นได้ง่าย ณ สถานทดสอบฝีมือตามที่ระบุไว้ในใบอนุญาต
มาตรา ๔๗ จัตวา ในการทดสอบฝีมือคนหางาน ผู้รับอนุญาตดําเนินการทดสอบฝีมือจะต้องมีผู้ควบคุมการทดสอบ และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานประกาศกําหนด
มาตรา ๔๗ เบญจ ห้ามมิให้ผู้รับอนุญาตดําเนินการทดสอบฝีมือเรียกหรือรับเงิน หรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากคนหางานนอกจากค่าทดสอบฝีมือค่าทดสอบฝีมือตามวรรคหนึ่ง ให้เรียกหรือรับได้ไม่เกินอัตราที่อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานประกาศกําหนด โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการพัฒนาการจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน
มาตรา ๔๗ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๗ หมวด ๓ ทวิสถานทดสอบฝีมือ มาตรา ๔๗ ทวิมาตรา ๔๗ ตรีมาตรา ๔๗ จัตวา
มาตรา ๔๗ เบญจ มาตรา ๔๗ ฉ มาตรา ๔๗ สัตต มาตรา ๔๗ อัฏฐ และมาตรา ๔๗ นว เพิ่มโดยพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๗
มาตรา ๔๗ ฉ ผู้รับอนุญาตดําเนินการทดสอบฝีมือต้องจัดให้มีสมุดทะเบียนบัญชีและเอกสารเกี่ยวกับกิจการของตนตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานประกาศกําหนด และพร้อมที่จะให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้
มาตรา ๔๗ สัตต ใบอนุญาตให้ใช้ได้สองปีนับแต่วันที่ออกใบอนุญาตถ้าผู้รับอนุญาตดําเนินการทดสอบฝีมือประสงค์จะขอต่ออายุใบอนุญาตให้ยื่นคําขอก่อนใบอนุญาตนั้นสิ้นอายุไม่น้อยกว่าสามสิบวัน เมื่อได้ยื่นคําขอดังกล่าวแล้วให้ประกอบกิจการต่อไปได้จนกว่าอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานจะสั่งไม่อนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาตนั้น
การขอต่ออายุใบอนุญาตและการอนุญาต ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขที่กําหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๔๗ อัฏฐ ในกรณีที่อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานไม่ออกใบอนุญาต หรือไม่ต่ออายุใบอนุญาต ผู้ขอรับอนุญาตหรือผู้รับอนุญาตดําเนินการทดสอบฝีมือมีสิทธิอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการไม่อนุญาตคําวินิจฉัยของรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด
ในระหว่างการอุทธรณ์คําสั่งไม่ต่ออายุใบอนุญาต รัฐมนตรีจะมีคําสั่งให้ผู้อุทธรณ์ประกอบกิจการต่อไปหรือไม่ก็ได้
มาตรา ๔๗ นว ในกรณีที่ใบอนุญาตสูญหาย ถูกทําลาย หรือชํารุดในสาระสําคัญให้ผู้รับอนุญาตดําเนินการทดสอบฝีมือ ยื่นคําขอใบแทนใบอนุญาตต่ออธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้ทราบถึงการสูญหายถูกทําลาย หรือชํารุดดังกล่าว ทั้งนี้ตามระเบียบที่อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานประกาศกําหนด
หมวด ๔
การไปทำงานในต่างประเทศ
มาตรา ๔๘ คนหางานผู้ใดประสงค์จะเดินทางไปทํางานในต่างประเทศด้วยตนเอง โดยมิได้ทําสัญญาจัดหางานกับผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศ ตามความในหมวด ๓ ให้แจ้งให้อธิบดีหรือผู้ที่อธิบดีมอบหมายทราบก่อนเดินทางไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน
การแจ้ง ให้เป็นไปตามแบบที่อธิบดีประกาศกําหนด
มาตรา ๔๘/๑ คนหางานซึ่งตนเองหรือนายจ้างหรือผู้รับอนุญาตจัดหางาน เพื่อไปทํางานในต่างประเทศได้ส่งเงินเข้ากองทุนตามมาตรา ๓๗ หรือคนหางานซึ่งเดินทางไปทํางานในต่างประเทศด้วยตนเองตามมาตรา ๔๘ ที่สมัครใจส่งเงินเข้ากองทุนตามอัตราที่กําหนดในกฎกระทรวงตามมาตรา ๓๗ ก่อนเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ให้ได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนตามระเบียบที่รัฐมนตรีกําหนดตามมาตรา ๕๓ เป็นระยะเวลาตามสัญญาจ้างที่คนหางานนั้นมีอยู่
คนหางานซึ่งยังอยู่หรือยังทํางานอยู่ในต่างประเทศให้ได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนตามมาตรา ๕๓ เป็นระยะเวลาห้าปีนับแต่วันครบกําหนดตามสัญญาจ้าง หรือวันที่สัญญาจ้างสิ้นสุดลง
คนหางานที่ได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนตามวรรคสอง หากไปทําสัญญาจ้างกับนายจ้างใหม่หรือนายจ้างเดิม และประสงค์จะได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนตามวรรคสองต่อไป ให้คนหางานหรือนายจ้างส่งเงินเข้ากองทุนภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ครบกําหนดตามวรรคสอง
มาตรา ๔๙ ห้ามมิให้นายจ้างซึ่งอยู่ในประเทศไทยพาลูกจ้างไปทํางานในต่างประเทศ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากอธิบดี การขออนุญาตและการอนุญาต ให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกําหนด
มาตรา ๔๙ ทวิ การส่งลูกจ้างซึ่งทํางานในกิจการตามวัตถุประสงค์ของนายจ้าง ไปฝึกงานในต่างประเทศ ให้ปฏิบัติดังนี้
(๑) การส่งไปฝึกงานไม่เกินสี่สิบห้าวัน ต้องแจ้งให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดี มอบหมายทราบตามแบบที่อธิบดีประกาศกําหนดก่อนลูกจ้างเดินทางออกนอกราชอาณาจักร
(๒) กรณีตาม (๑) ถ้าลูกจ้างได้รับเงินหรือประโยชน์ที่จะพึงได้รับในต่างประเทศต่ํากว่าอัตราและหลักเกณฑ์ที่อธิบดีกําหนดจะต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายก่อน
(๓) การส่งไปฝึกงานเกินสี่สิบห้าวัน ต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายก่อน การขออนุญาตและการอนุญาตตามวรรคหนึ่ง (๒) หรือ (๓) ให้เป็นไปตามที่กําหนดในกฎกระทรวง การส่งลูกจ้างไปฝึกงานจะเรียกเก็บเงินหรือประโยชน์อื่นใดมิได้ นายจ้างซึ่งส่งลูกจ้างไปฝึกงานในต่างประเทศต้องรับผิดชอบในการเดินทางกลับมาในราชอาณาจักรของลูกจ้าง ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีกําหนด
มาตรา ๕๐ ห้ามมิให้นายจ้างในต่างประเทศ หรือตัวแทนทําการรับสมัครเพื่อหาลูกจ้างในประเทศไทยด้วยตนเองเพื่อไปทํางานในต่างประเทศเว้นแต่จะติดต่อให้สํานักงานจัดหางานหรือกรมการจัดหางานจัดหาให้
มาตรา ๕๑ เมื่อคนหางานเดินทางไปถึงประเทศที่ตนไปทํางาน ให้คนหางานแจ้งเป็นหนังสือให้สํานักงานแรงงานไทยในประเทศดังกล่าวทราบภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่เดินทางไปถึงโดยระบุชื่อ ภูมิลําเนาในประเทศไทย สถานที่อยู่ และสถานที่ทํางานในต่างประเทศ ในกรณทีี่ไม่มีสํานักงานแรงงานไทยในประเทศดังกล่าว ให้แจ้งเป็นหนังสือให้สถานทูตไทยหรือสถานกงสุลไทยในประเทศนั้นหรือสถานทูตไทยหรือสถานกงสุลไทยที่รับผิดชอบในการดูแลคนไทยในประเทศนั้นทราบภายในระยะเวลาดังกล่าว
หมวด ๕
กองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทํางานในต่างประเทศ
มาตรา ๕๒ ให้จัดตั้งกองทุนขึ้นกองทุนหนึ่งในกรมการจัดหางานเรียกว่า กองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทํางานในต่างประเทศ เพื่อใช้จ่ายในกิจการตามมาตรา ๕๓ โดยประกอบด้วยเงินและทรัพย์สินอื่น ดังต่อไปนี้
(๑) เงินอุดหนุนจากรัฐบาล
(๒) เงินที่ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศนายจ้างหรือคนหางานส่งเข้ากองทุนตามพระราชบัญญัตินี้
(๓) ดอกผลของกองทุน
(๔) เงินหรือทรัพย์สินอื่นที่มีผู้อุทิศให้
(๕) หลักประกันที่ตกเป็นของกองทุนตามมาตรา ๓๔ เงินและทรัพย์สินอื่นตามวรรคหนึ่ง ให้ส่งเข้ากองทุนโดยไม่ต้องนําส่งกระทรวงการคลังเป็นรายได้แผ่นดิน
การบริหารกองทุนและการควบคุมการใช้จ่ายเงินกองทุน ให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกําหนดโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
มาตรา ๕๓ กิจการที่จะใช้จ่ายเงินจากกองทุนได้นั้น ได้แก่กิจการดังต่อไปนี้
(๑) จัดการให้คนหางานซึ่งถูกทอดทิ้งอยู่ในต่างประเทศได้เดินทางกลับประเทศไทย
(๒) ให้การสงเคราะห์แก่คนหางานซึ่งไปหรือจะไปทํางานในต่างประเทศหรือทายาทโดยธรรมของบุคคลดังกล่าว
(๓) การคัดเลือกและทดสอบฝีมือและการฝึกอบรมคนหางานก่อนจะเดินทางไปทํางานในต่างประเทศ ทั้งนี้ให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกําหนด
มาตรา ๕๔ ให้มีคณะกรรมการกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทํางานในต่างประเทศ ประกอบด้วยอธิบดีเป็นประธานกรรมการ และบุคคลอื่นซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งอีกไม่เกินหกคนเป็นกรรมการ และให้ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศเป็นกรรมการและเลขานุการ
มาตรา ๕๕ กรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งมีวาระอยู่ในตําแหน่งคราวละสามปี ในกรณีที่มีการแต่งตั้งกรรมการในระหว่างที่กรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้วยังมีวาระอยู่ในตําแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งเพิ่มขึ้นหรือแต่งตั้งซอม ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งนั้นอยในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้วนั้น กรรมการซึ่งพ้นจากตําแหน่งอาจได้รับการแต่งตั้งอีกได้แต่ต้องไม่เกินสองคราวติดต่อกัน
มาตรา ๕๖ นอกจากการพ้นจากตําแหน่งตามวาระตามมาตรา ๕๕ กรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตําแหน่ง เมื่อ
(๑) ตาย
(๒) ลาออก
(๓) รัฐมนตรีให้ออก
(๔) เป็นบุคคลล้มละลาย
(๕) เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(๖) ได้รับโทษจําคุกโดยคําพิพากษาถึงที่สุดหรือคําสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จําคุก เว้นแต่เป็นโทษสําหรับความผิดที่กระทําโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ
มาตรา ๕๗ การประชุมของคณะกรรมการกองทุน ต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนกรรมการทั้งหมด จึงเป็นองค์ประชุมถ้าประธานกรรมการไม่อยู่ หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
มาตรา ๕๘ ให้คณะกรรมการกองทุนมีอํานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑) เสนอคําแนะนําต่อรัฐมนตรีในการออกระเบียบตามมาตรา ๕๒ และมาตรา ๕๓
(๒) ให้คําปรึกษาแนะนําแก่อธิบดีนายทะเบียน และพนักงานเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติการที่เกี่ยวกับกองทุนตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๕๙ ให้รัฐมนตรีมีอํานาจนําเงินกองทุนตามมาตรา ๕๒ (๒) (๓) (๔) และ (๕) ไปหาดอกผลได้โดยการฝากออมทรัพย์หรือฝากประจํากับธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจหรือโดยการซื้อหลักทรัพย์ของรัฐบาล
มาตรา ๖๐ ให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายมีอํานาจและหน้าที่ในการเบิกจ่ายเงินจากกองทุนเพื่อใช้จ่ายในกิจการตามมาตรา ๕๓
มาตรา ๖๑ ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันสิ้นปีงบประมาณ ให้นายทะเบียนจัดหางานกลางทํารายงานการรับจ่ายเงินกองทุนประจําปีงบประมาณที่สิ้นสุด และประกาศในราชกิจจานุเบกษา หมวด ๕ ทวิ คณะกรรมการพัฒนาการจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน
มาตรา ๖๑ ทวิ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการพัฒนาการจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน” ประกอบด้วยปลัดกระทรวงแรงงาน*เป็นประธานกรรมการ
ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ ผู้แทนสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติผู้แทนกรมตํารวจผู้แทนกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ผู้แทนกรมการจัดหางานเป็นกรรมการ
และบุคคลอื่นซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งอีกไม่เกินแปดคนเป็นกรรมการ
โดยให้มีกรรมการผู้ที่มีความรู้ในการจัดหางานและคุ้มครองคนหางานไม่น้อยกว่าสามคน กรรมการซึ่ง เป็นลูกจ้างและนายจ้างฝ่ายละหนึ่งคน และให้ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศเป็นกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการจะแต่งตั้งบุคคลใดเป็นผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการก็ได้
มาตรา ๖๑ ตรี คณะกรรมการมีอํานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑) เสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีเกี่ยวกับนโยบายและมาตรการในการจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน
(๒) เสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีเกี่ยวกับมาตรการในการแก้ไขปัญหาในการจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน
(๓) เสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีเกี่ยวกับมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการหลอกลวงคนหางาน
(๔) ให้คําปรึกษาและแนะนําเกี่ยวกับมาตรฐานการจ้างแรงงานไทยเพื่อไปทํางานในต่างประเทศแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
(๕) ให้คําปรึกษาแนะแนวทางและวิธีการในการส่งเสริมการมีงานทําและการพัฒนาทักษะฝีมือของแรงงานไทยแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
(๖) ให้คําปรึกษาและแนะนําเกี่ยวกับการกําหนดมาตรฐานและวิธีการในการทดสอบฝีมือคนหางานแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
(๗) ปฏิบัติการอื่นตามที่คณะรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีมอบหมาย
มาตรา ๖๑ จัตวา ให้นําบทบัญญัติมาตรา ๕๕ มาตรา ๕๖ และมาตรา ๕๗ มาใช้บังคับกับคณะกรรมการพัฒนาการจัดหางานและคุ้มครองคนหางานโดยอนุโลม
มาตรา ๖๑ เบญจ คณะกรรมการพัฒนาการจัดหางานและคุ้มครองคนหางานจะแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่คณะกรรมการดังกล่าวมอบหมายก็ได้
หมวด ๖
การควบคุม
มาตรา ๖๒ คนหางานซึ่งเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรจะต้องเดินทางออกไปโดยผ่านทางด่านตรวจคนหางานและต้องยื่นรายการต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามแบบที่อธิบดีประกาศกําหนด ณ ด่านดังกล่าว
ด่านตรวจคนหางานตามวรรคหนึ่ง ให้รัฐมนตรีกําหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๖๓ ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจพบว่า ผู้ใดไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับการไปทํางานหรือฝึกงานในต่างประเทศตามที่กําหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ พนักงานเจ้าหน้าที่มีอํานาจระงับการเดินทางออกนอกราชอาณาจักรของผู้นั้น ได้เท่าที่จําเป็นตามพฤติการณ์แห่งกรณี ทั้งนี้ให้พนักงานเจ้าหน้าที่บันทึกเหตุที่ต้องระงับการเดินทางไว้ให้ชัดเจนด้วย ค่าเสียหายที่เกิดจากการสั่งระงับการเดินทางของคนหางานตามวรรคหนึ่งให้ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศเป็นผู้เสีย ในกรณีที่คนหางานมิได้เดินทางโดยการจัดการของผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศให้คนหางานเป็นผู้เสีย
มาตรา ๖๔ ผู้รับอนุญาตซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาต้องใช้ชื่อในธุรกิจซึ่งมีคําว่า “สํานักงานจัดหางาน” และผู้รับอนุญาตซึ่งเป็นนิติบุคคลต้องใช้ชื่อในธุรกิจซึ่งมีคําว่า “ห้างหุ้นส่วนจัดหางาน” หรือ “บริษัทจัดหางาน” นําหน้าชื่อ
มาตรา ๖๕ ห้ามมิให้ผู้ใดนอกจากผู้รับอนุญาตใช้ชื่อ คําแสดงชื่อ หรือคําอื่นใดในธุรกิจว่า “สํานักงานจัดหางาน” “ห้างหุ้นส่วนจัดหางาน” หรือ “บริษัทจัดหางาน” หรืออักษรต่างประเทศที่มีความหมายเช่นเดียวกัน เว้นแต่ใช้ในการขออนุญาตจัดหางาน
มาตรา ๖๖ การโฆษณาการจัดหางานให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกําหนด
มาตรา ๖๗ ในการปฏิบัติหน้าที่ ให้นายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีอํานาจดังต่อไปนี้
(๑) เข้าไปในสํานักงานหรือสถานที่อื่นที่เกี่ยวกับการจัดหางานการฝึกงาน หรือการทดสอบฝีมือในเวลากลางวันหรือในขณะทําการ เพื่อตรวจสอบและควบคุมให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้
(๒) ยึดหรืออายัดสมุดทะเบียน บัญชีเอกสารหรือหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องกับการจัดหางาน การฝึกงานหรือการทดสอบฝีมือ ในกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อว่ามีการกระทําความผิดตามพระราชบัญญัตินี้
(๓) เรียกหรือสั่งให้ผู้รับอนุญาตจัดหางาน ผู้จัดการ ตัวแทนจัดหางานลูกจ้างคนหางาน ผู้ส่งคนไปฝึกงาน คนฝึกงาน ผู้รับอนุญาตดําเนินการทดสอบฝีมือ หรือบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องให้ถ้อยคํา หรือข้อเท็จจริงหรือส่งเอกสาร หรือหลักฐานอื่นใดเพื่อประกอบการพิจารณาได้
ในการปฏิบัติหน้าที่ตาม (๑) หรือ (๒) ให้นายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่แสดงบัตรประจําตัวต่อผู้ซึ่งเกี่ยวข้อง และให้ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องอํานวยความสะดวกตามสมควร
บัตรประจําตัวนายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้เป็นไปตามแบบที่รัฐมนตรีกําหนด
มาตรา ๖๘ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ให้นายทะเบียนและพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๖๙ ในกรณีที่ผู้รับอนุญาต
(๑) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๙ หรือมาตรา ๓๑
(๒) ไม่ปฏิบัติหรือปฏิบัติไม่ถูกต้องตามพระราชบัญญัตินี้หรือกฎกระทรวงหรือระเบียบที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้
ให้นายทะเบียนมีอํานาจสั่งให้ผู้รับอนุญาตนั้นปฏิบัติให้ถูกต้องหรือจัดการแก้ไขให้ถูกต้องภายในระยะเวลาที่กําหนด หรือสั่งพักใช้ใบอนุญาตมีกําหนดครั้งละไม่เกินหนึ่งร้อยยี่สิบวัน
มาตรา ๗๐ ในกรณีที่
(๑) ผู้รับอนุญาตไม่ปฏิบัติหรือจัดการแก้ไขให้ถูกต้องตามคําสั่งของนายทะเบียนตามมาตรา ๖๙ วรรคสอง ภายในระยะเวลาที่กําหนด
(๒) ผู้รับอนุญาตเคยถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตมาแล้วยังไม่เกินหนึ่งปีหรือเคยถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตมาแล้วสองครั้ง และมีเหตุที่จะต้องถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตอีก
(๓) นายทะเบียนเห็นว่าผู้รับอนุญาตไม่สามารถปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้หรือ กฎกระทรวงหรือระเบียบที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ได้อีกต่อไปแล้ว
(๔) นายทะเบียนเห็นว่าการที่ผู้รับอนุญาตไม่ปฏิบัติหรือปฏิบัติไม่ถูกต้องตามพระราชบัญญัตินี้ หรือกฎกระทรวงหรือระเบียบที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้นั้นเป็นการร้ายแรงหรือเป็นการหลอกลวงประชาชนให้นายทะเบียนมีอํานาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาตได้
มาตรา ๗๑ คําสั่งพักใช้ใบอนุญาตและคําสั่งเพิกถอนใบอนุญาต ให้ทําเป็นหนังสือและแจ้งให้ผู้รับอนุญาตทราบ ในกรณีที่ไม่พบตัวผู้รับอนุญาต หรือผู้รับอนุญาตไม่ยอมรับคําสั่ง ให้ปิดคําสั่งดังกล่าวไว้ในที่เปิดเผยซึ่งเห็นได้ง่าย ณ สํานักงานของผู้รับอนุญาต และให้ถือว่าผู้รับอนุญาตได้ทราบคําสั่งนั้นแล้วตั้งแต่วันที่ปิดคําสั่ง
ในระหว่างถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาต ห้ามมิให้ผู้รับอนุญาตดําเนินการใดๆ เกี่ยวกับ
การจัดหางาน เว้นแต่การดําเนินการเพื่อจัดส่งคนหางานไปทํางานในต่างประเทศตามที่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีตามมาตรา ๓๖ (๑) ก่อนวันที่ถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาต ผู้รับอนุญาตซึ่งถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตหรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตต้องรับผิดชอบ
ในการจัดส่งคนหางานซึ่งยังอยู่ในความรับผิดชอบของตนกลับภูมิลําเนาหรือกลับประเทศไทย แล้วแต่กรณีจนกว่าจะพ้นจากความรับผิดตามพระราชบัญญัตินี้และยังต้องปฏิบัติหน้าที่ในการรายงานให้นายทะเบียนทราบเกี่ยวกับคนหางานซึ่งยังอยู่ในความรับผิดชอบของตน
มาตรา ๗๒ ผู้รับอนุญาตซึ่งถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตหรือถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาตมีสิทธิอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคําสั่งคําวินิจฉัยของรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด
การอุทธรณ์คําสั่งต่อรัฐมนตรีตามวรรคหนึ่ง ไม่เป็นการทุเลาการบังคับตามคําสั่งพักใช้ใบอนุญาตหรือคําสั่งเพิกถอนใบอนุญาต
มาตรา ๗๒ ทวิ ในกรณีที่ผู้รับอนุญาตดําเนินการทดสอบฝีมือไม่ปฏิบัติหรือปฏิบัติไม่ถูกต้องตามพระราชบัญญัตินี้หรือกฎกระทรวง หรือระเบียบที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ ให้อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานมีอํานาจสั่งให้ผู้รับอนุญาตนั้นปฏิบัติให้ถูกต้องหรือจัดการแก้ไขให้ถูกต้องภายในระยะเวลาที่กําหนด หรือสั่งพักใช้ใบอนุญาตสําหรับสาขาอาชีพที่กําหนด หรือสั่งเพิกถอนใบอนุญาต แล้วแต่กรณี
คําสั่งพักใช้ใบอนุญาตและคําสั่งเพิกถอนใบอนุญาต ให้ทําเป็นหนังสือและแจ้งให้ผู้รับอนุญาตนั้นทราบ ในกรณีที่ไม่พบตัวผู้รับอนุญาตนั้น หรือผู้รับอนุญาตไม่ยอมรับคําสั่ง ให้ปิด
คําสั่งดังกล่าวไว้ ณ ที่เปิดเผยและเห็นได้ง่าย ณ สถานทดสอบฝีมือของผู้รับอนุญาต และให้ถือว่าผู้รับอนุญาตได้ทราบคําสั่งนั้นแล้วตั้งแต่วันที่ปิดคําสั่ง ในการนี้จะประกาศคําสั่งนั้นในหนังสือพิมพ์ที่แพร่หลายในท้องถิ่นนั้นด้วยก็ได้
ในระหว่างถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาต ห้ามมิให้ผู้รับอนุญาตดําเนินการใดๆ ที่เกี่ยวกับการทดสอบฝีมือตามที่กําหนดในคําสั่งพักใช้ใบอนุญาต ให้นําบทบัญญัติมาตรา ๗๒ มาใช้บังคับกับการอุทธรณ์คําสั่งพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตดําเนินการทดสอบฝีมือโดยอนุโลม
หมวด ๗
บทกําหนดโทษ
มาตรา ๗๓ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๘ วรรคหนึ่ง มาตรา ๔๗ ทวิหรือมาตรา ๔๗ เบญจ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๗๔ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๑ มาตรา ๑๒ วรรคหนึ่งมาตรา ๑๓ วรรคหนึ่ง มาตรา ๒๐ วรรคหนึ่ง มาตรา ๒๑ มาตรา ๒๓ วรรคหนึ่งมาตรา ๒๔ วรรคหนึ่ง หรือ มาตราดังกล่าวซึ่งได้นํามาใช้บังคับโดยอนุโลมตามมาตรา ๔๗ หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๓๕ วรรคหนึ่ง มาตรา ๓๖ (๓) หรือ (๗) หรือมาตรา ๔๗ จัตวา ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท
มาตรา ๗๕ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง มาตรา ๑๙ วรรคหนึ่ง มาตรา ๒๒ วรรคหนึ่ง หรือมาตราดังกล่าวซึ่งได้นํามาใช้บังคับโดยอนุโลมตามมาตรา ๔๗ หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๓๖ (๒) (๔) (๕) หรือ (๖) มาตรา ๔๗ ตรีมาตรา ๔๗ นว มาตรา ๔๘ มาตรา ๖๔ หรือมาตรา ๖๕ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท
มาตรา ๗๖ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคําสั่งนายทะเบียนตามมาตรา ๑๗ หรือมาตรา ๓๓ วรรคสาม ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหกเดือน และปรับสองเท่าของจํานวนเงินที่ต้องส่งเพิ่มจนครบวงเงินหลักประกัน
มาตรา ๗๗ ผู้ใดแสดงตนเป็นลูกจ้างหรือตัวแทนจัดหางานของผู้รับอนุญาตอันเป็นเท็จ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งหนึ่งปีถึงสามปีหรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๗๘ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๒๕ หรือมาตรา ๒๕ ซึ่งนํามาใช้บังคับ โดยอนุโลมตามมาตรา ๔๗ มาตรา ๓๖ (๑) หรือมาตรา ๔๗ ฉ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๗๘ ทวิ ผู้ใดลงรายการ หรือทํารายงานตามมาตรา ๒๕ หรือมาตรา ๒๕ ซึ่งได้นํามาใช้บังคับโดยอนุโลมตามมาตรา ๔๗ หรือมาตรา ๔๗ ฉ อันเป็นเท็จ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๗๙ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๖ มาตรา ๒๗ ซึ่งได้นํามาใช้บังคับโดยอนุโลมตามมาตรา ๔๗ หรือฝ่าฝืนมาตรา ๓๘ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปีและปรับห้าเท่าของค่าบริการและหรือค่าใช้จ่ายที่เรียกเกินหรือเรียกลวงหน้า หรือสามเท่าของเงินหรือทรัพย์สินอย่างอื่นที่รับไว้เป็นประกันค่าบริการ และหรือค่าใช้จ่ายดังกล่าว
มาตรา ๘๐ ผู้รับอนุญาตผู้ใดไม่ดําเนินการตามมาตรา ๒๘ วรรคหนึ่งหรือมาตรา ๓๙ (๑) ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๘๑ ผู้รับอนุญาตผู้ใดไม่ทําการแจ้งตามมาตรา ๒๘ มาตรา ๓๙ (๒) มาตรา ๔๐ วรรคสาม มาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง มาตรา ๔๔ หรือมาตรา ๔๕ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท
มาตรา ๘๒ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๓๐ วรรคหนึ่ง มาตรา ๔๙
มาตรา ๔๙ ทวิวรรคหนึ่งหรือวรรคสาม หรือมาตรา ๕๐ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปีหรือปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๘๓ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๓๒ ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงห้าหมื่นบาท
มาตรา ๘๔ ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศผู้ใดไม่ส่งเงินเข้ากองทุนตามมาตรา ๓๗ ต้องระวางโทษปรับสองหมื่นบาท หรือสามเท่าของจํานวนเงินที่ต้องส่งเข้ากองทุน สุดแต่จํานวนใดจะสูงกว่า
มาตรา ๘๕ ผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศผู้ใดรับค่าบริการหรือค่าใช้จ่ายจากคนหางานแล้ว ไม่จัดส่งคนหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๘๖ ผู้รับอนุญาตผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๔๐ วรรคสอง ต้องระวางโทษตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๘๐ หรือมาตรา ๘๑ แล้วแต่กรณี
มาตรา ๘๗ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๖๒ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๘๘ ผู้ใดโฆษณาการจัดหางานโดยฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามระเบียบที่รัฐมนตรีกําหนดตามมาตรา ๖๖ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๘๙ ผู้ใดขัดขวางนายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ตามมาตรา ๖๗ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๙๐ ผู้ใดไม่อํานวยความสะดวกแก่นายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ตามมาตรา ๖๗ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท
มาตรา ๙๐ ทวิ ผู้ใดฝ่าฝืนคําสั่งของนายทะเบียน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๖๗ (๓) ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๙๐ ตรี ผู้รับอนุญาตจัดหางานในประเทศผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม มาตรา ๗๑ วรรคสอง ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับผู้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศ
ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๗๑ วรรคสอง ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปีหรือปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๗๑ วรรคสาม ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๘๐ หรือมาตรา ๘๑ แล้วแต่กรณี
มาตรา ๙๑ ทวิ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๗๒ ทวิวรรคสามต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๙๑ ตรี ผู้ใดหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางาน หรือสามารถส่งไป
ฝึกงานในต่างประเทศได้และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปีหรือปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๙๒ ในกรณีที่ผู้กระทําความผิดซึ่งต้องรับโทษตามพระราชบัญญัติเป็นนิติบุคคลผู้จัดการ หรือผู้แทนนิติบุคคลนั้นต้องรับโทษตามที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นๆ ด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทําความผิดของนิติบุคคลนั้น
มาตรา ๙๓ บรรดาความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ที่มีโทษปรับสถานเดียวหรือมีโทษปรับหรือโทษจําคุกไม่เกินหกเดือน ให้บุคคลต่อไปนี้มีอํานาจเปรียบเทียบปรับได้
(๑) อธิบดีสําหรับความผิดตามพระราชบัญญัตินี้เว้นแต่กรณีตาม (๒)
(๒) อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สําหรับความผิดที่เกี่ยวกับการทดสอบฝีมือตามพระราชบัญญัตินี้
อํานาจเปรียบเทียบตามวรรคหนึ่งอธิบดีหรืออธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานจะมอบอํานาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสําหรับความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ที่เกิดขึ้นในจังหวัดนั้นก็ได้
ในกรณีที่มีการสอบสวน ถ้าพนักงานสอบสวนพบว่าบุคคลใดกระทําความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ที่มีโทษอยู่ในเกณฑ์ที่จะทําการเปรียบเทียบได้และบุคคลนั้นยินยอมให้เปรียบเทียบ ให้พนักงานสอบสวนส่งเรื่องให้อธิบดีหรืออธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน หรือผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งได้รับมอบอํานาจจากบุคคลดังกล่าว แล้วแต่กรณีภายในเจ็ดวัน นับแต่วันที่บุคคลนั้นยินยอมให้เปรียบเทียบ
เมื่อผู้กระทําผิดได้ชําระเงินค่าปรับตามจํานวนที่เปรียบเทียบภายในเวลาที่กําหนดแต่ไม่เกินสามสิบวันแล้ว ให้ถือว่าคดีเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ถ้าผู้กระทําผิดไม่ยินยอมให้เปรียบเทียบ หรือเมื่อยินยอมแล้วไม่ชําระเงินค่าปรับภายในกําหนดเวลาตามวรรคสี่ให้ดําเนินคดีต่อไป
บทเฉพาะกาล
มาตรา ๙๔ บรรดากฎกระทรวงและประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๑๑ และยังใช้บังคับอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเพียงเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้ทั้งนี้จนกว่าจะมี กฎกระทรวง ระเบียบและประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๙๕ ใบอนุญาตจัดหางานที่ออกตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๑๑ ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ใช้ได้จนกว่าจะสิ้นอายุใบอนุญาตนั้น แต่ทั้งนี้ผู้ซึ่งได้รับใบอนุญาตดังกล่าวต้องปฏิบัติตามมาตรา ๖๔ ภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวัน นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และในระหว่างเวลาดังกล่าวมิให้นํามาตรา ๗๔ มาใช้บังคับ
ในกรณีที่ผู้ซึ่งได้รับใบอนุญาตดังกล่าวก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ประสงค์จะจัดหางานเพื่อให้คนหางานไปทํางานในต่างประเทศภายหลังวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ก่อนส่งคนหางานไปทํางานในต่างประเทศ
มาตรา ๙๖ เพื่อประโยชน์ในการขอรับความคุ้มครองจากกองทุนเพื่อคนหางานในต่างประเทศ ตามพระราชบัญญัตินี้คนหางานซึ่งผู้ได้รับอนุญาตจัดหางานเพื่อไปทํางานในต่างประเทศ ตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๑๑ ได้จัดส่งไปทํางานในต่างประเทศ อาจขอรับสิทธิและประโยชน์จากกองทุนได้
โดยส่งเงินเข้ากองทุนตามอัตราที่กําหนดโดยกฎกระทรวงตามมาตรา ๓๗ พร้อมด้วยสําเนาเอกสารหลักฐานตามที่อธิบดีกําหนด ทั้งนี้โดยส่งไปยังสํานักงานทะเบียนจัดหางานกลางภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่กฎกระทรวงดังกล่าวใช้บังคับ
เมื่อสํานักงานทะเบียนจัดหางานกลางได้ตรวจสอบเห็นว่าถูกต้องแล้วให้แจ้งให้คนหางานทราบ และให้คนหางานได้รับสิทธิและประโยชน์นับแต่วันที่สํานักงานทะเบียนจัดหางานกลางได้รับเงินและเอกสารหลักฐานตามวรรคหนึ่ง
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก ป. ติณสูลานนท์
นายกรัฐมนตรี
อัตราค่าธรรมเนียม
(๑) คําขอ ฉบับละ ๑๐ บาท
(๒) ใบอนุญาตตามมาตรา ๘ หรือ มาตรา ๔๗ ทวิ ฉบับละ ๕,๐๐๐ บาท
(๓) การอนุญาตตามมาตรา ๑๒ มาตรา ๑๓ หรือมาตรา ๑๙ ครั้งละ ๔๐๐ บาท
(๔) การจดทะเบียนตามมาตรา ๑๕ คนละ ๕๐๐ บาท
(๕) ใบอนุญาตตามมาตรา ๓๐ ฉบับละ ๑๐,๐๐๐ บาท
(๖) บัตรประจําตัวผู้รับใบอนุญาต ผู้จัดการ ลูกจ้าง หรือตัวแทนจัดหางาน ฉบับละ ๑๐๐ บาท
(๗) ใบแทนใบอนุญาต ฉบับละกึ่งหนึ่งของค่าธรรมเนียมใบอนุญาต
(๘) การต่ออายุใบอนุญาต ครั้งละเท่ากับค่าธรรมเนียมใบอนุญาต
(๙) การรับรองสําเนาเอกสาร
(ก) ภาษาไทย หน้าละ ๕ บาท
(ข) ภาษาต่างประเทศ หน้าละ ๑๐ บาท
(๑๐) การออกหนังสือรับรอง
(ก) ภาษาไทย หน้าละ ๒๐๐ บาท
(ข) ภาษาต่างประเทศ หน้าละ ๔๐๐ บาท
(๑๑) ค่าธรรมเนียมอื่นๆ ครั้งละ ๔๐๐ บาท
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้คือ เนื่องจากปัจจุบันนี้ได้มีผู้
ประกอบธุรกิจจัดหางานโดยส่งคนหางานไปทํางานในต่างประเทศเป็นจํานวนมากขึ้น ทําให้เกิด
ปัญหานานาประการ เช่น มีการโฆษณาหลอกลวงคนหางานให้ไปสมัครงานโดยไม่มีงานให้ทํา
เรียกค่าบริการและค่าใช้จ่ายเกินสมควร คนหางานที่เดินทางไปต่างประเทศแล้วไม่ได้งานตามที่
ตกลงกันไว้นายจ้างไม่ปฏิบัติตามสัญญาจ้าง คนงานหญิงถูกนายจ้างหรือญาติของนายจ้าง
ลวนลาม ข่มขืน ถูกทอดทิ้งในต่างประเทศได้รับความทุกข์ยากนานาประการ คนหางานที่มีปัญหา
เหล่านี้มักจะหลบหนีไปอยู่ที่สํานักงานแรงงานไทยหรือสถานทูตไทย ทําให้เกิดปัญหาเรื่องที่อยู่
อาศัย อาหาร และค่าพาหนะเดินทางกลับประเทศไทย ผู้จัดหางานส่วนมากก็อ้างว่าไม่มีเงิน
ช่วยเหลือคนหางานดังกล่าว และจะเรียกเงินจากผู้ซึ่งค้ําประกันคนหางานในการขอหนังสือ
เดินทางก็กระทําได้ยาก เพราะติดตามหาตัวผู้ค้ําประกันไม่ได้นอกจากนี้ยังมีคนหางานบางรายซงึ่
ไปกระทําความผิดอาญาในต่างประเทศอีกทําให้ทางราชการต้องเข้าไปช่วยเหลือ และตกเป็นภาระ
หนักแก่งบประมาณของประเทศเพราะมาตรการต่างๆ ที่กําหนดไว้ในพระราชบัญญัติจัดหางาน
และคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๑๑ ไม่สามารถให้ความคุ้มครองคนหางานในต่างประเทศได้ใน
การนี้สมควรปรับปรุงกฎหมายดังกล่าวโดยรีบด่วน โดยกําหนดมาตรการควบคุมการจัดหางานให้
รัดกุมยิ่งขึ้น แยกการควบคุมการจัดหางานให้คนหางานไปทํางานในต่างประเทศเป็นส่วนหนึ่ง
ต่างหาก จัดให้มีกองทุนสําหรับช่วยเหลือคนงานไทยในต่างประเทศขึ้นโดยเฉพาะ รวมทั้งปรับปรงุ
ค่าธรรมเนียมให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจด้วย จึงจําเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๗
มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกําหนดเก้าสิบวันนับแต่ประกาศ
ในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้คือ โดยที่บทบัญญัติใน
พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ ยังมีบทบัญญัติหลายเรื่องไม่
เหมาะสมทําให้มีการหลีกเลี่ยงกฎหมายด้วยวิธีการต่างๆ และยังไม่อาจให้ความคุ้มครอง
คนหางานได้อย่างเพียงพอ จึงสมควรปรับปรุงใหม่โดยให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาการ
จัดหางานและคุ้มครองคนหางานขึ้นเพื่อทําหน้าที่พิจารณาและเสนอแนวทางการพัฒนาระบบ
จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน และสมควรให้ความคุ้มครองคนหางานเพิ่มขึ้นโดยให้รวมไปถึง
การไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ตามที่กําหนดไว้ในสัญญาจัดหางานด้วย และเพื่อให้เป็นที่เชื่อถือ
แก่การจ้างงาน สมควรควบคุมสถานทดสอบฝีมือและการดําเนินการทดสอบฝีมือไว้เป็นการ
เฉพาะ นอกจากนี้เพื่อเป็นการป้องกันการหลีกเลี่ยงกฎหมายโดยการนําลูกจ้างไปทํางานใน
ต่างประเทศ จึงสมควรมีบทบัญญัติควบคุมการส่งลูกจ้างไปฝึกงานขึ้นไว้อีกทั้งสมควรปรับปรุง
บทบัญญัติเกี่ยวกับการคืนหลักประกันและการส่งเงินกับการได้รับประโยชน์จากกองทุนและอัตรา
โทษให้เหมาะสมยิ่งขึ้น จึงจําเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๔
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้คือ โดยที่หลักเกณฑ์การจ่ายเงิน
จากกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานซึ่งไปทํางานในต่างประเทศตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๘ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย
พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๗ ยังไม่อาจให้ความ
ช่วยเหลือคนหางานที่ยังคงทํางานอยู่ในต่างประเทศ หลังจากครบกําหนดเวลาตามสัญญาจ้าง
สมควรขยายระยะเวลาในการให้ความช่วยเหลือคนหางานที่ได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนอยู่
ก่อนแล้วและยังคงทํางานในต่างประเทศให้ได้รับความช่วยเหลือต่อไปเป็นระยะเวลาห้าปีนับแต่
วันครบกําหนดตามสัญญาจ้างจึงจําเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
*พระราชกฤษฎีกาแก้ไขบทบัญญัติให้สอดคล้องกับการโอนอํานาจหน้าที่ของส่วนราชการให้
เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕
มาตรา ๕๘ ในพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ ให้แก้ไขคําว่า “กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม” เป็น “กระทรวงแรงงาน” คําว่า “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม” เป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน” และคําว่า “ปลัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม” เป็น “ปลัดกระทรวงแรงงาน”
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้คือ โดยที่พระราชบัญญัติปรับปรงุ กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ ได้บัญญัติให้จัดตั้งส่วนราชการขึ้นใหม่โดยมีภารกิจใหม่ซึ่งได้ มีการตราพระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอํานาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตาม พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม นั้นแล้ว และเนื่องจากพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ บัญญัติให้โอนอํานาจหน้าที่ของส่วนราชการ รัฐมนตรีผู้ดํารงตําแหน่งหรือผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในส่วน ราชการเดิมมาเป็นของส่วนราชการใหม่ โดยให้มีการแก้ไขบทบัญญัติต่างๆ ให้สอดคล้องกับ อํานาจหน้าที่ที่โอนไปด้วย
ฉะนั้น เพื่ออนุวัติให้เป็นไปตามหลักการที่ปรากฏในพระราชบัญญัติ และพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว จึงสมควรแก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายให้สอดคล้องกับการโอน ส่วนราชการ เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องมีความชัดเจนในการใช้กฎหมายโดยไม่ต้องไปค้นหาในกฎหมาย โอนอํานาจหน้าที่ว่าตามกฎหมายใดได้มีการโอนภารกิจของส่วนราชการหรือผู้รับผิดชอบตาม กฎหมายนั้นไปเป็นของหน่วยงานใดหรือผู้ใดแล้ว โดยแก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายให้มีการ เปลี่ยนชื่อส่วนราชการ
รัฐมนตรีผู้ดํารงตําแหน่งหรือผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการให้ตรงกับการโอนอํานาจหน้าที่ และเพิ่มผู้แทนส่วนราชการในคณะกรรมการให้ตรงตามภารกิจที่มีการตัดโอนจากส่วนราชการเดิมมาเป็นของส่วนราชการใหม่รวมทั้งตัดส่วนราชการเดิมที่มีการยุบเลิกแล้ว ซึ่งเป็นการแก้ไขให้ตรงตามพระราชบัญญัติและพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว จึงจําเป็นต้องตรา พระราชกฤษฎีกานี้
สัญชัย/ผู้จัดทำ
๒๐ กุมภาพันธ ๒๕๕๒
Download : พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน 2528